
อัปเดตเมื่อ: 07/07/2025
1 ต.ค. 68! เตรียมโดนหักเงินเดือนเพิ่ม เข้า "กองทุนใหม่" ที่คนทำงานต้องรู้!
รู้จัก กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง: หลักประกันใหม่สำหรับคนทำงาน (ตอนที่ 1)
หลายท่านอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง กันมาบ้าง แต่ก็อาจจะยังไม่ทราบถึงรายละเอียดและผลบังคับใช้ที่ชัดเจน บทความนี้เป็นตอนแรกที่จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับกองทุนนี้ให้มากขึ้น ตั้งแต่หลักการสำคัญไปจนถึงกฎหมายฉบับใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร?
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คือ กองทุนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (ในหมวด 13 มาตรา 126 ถึง 138) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็นหลักประกันและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่ต้องออกจากงานหรือเสียชีวิต
แม้ว่าตัวบทกฎหมายจะถูกกำหนดไว้เป็นเวลานานแล้ว แต่ในส่วนของการจัดเก็บเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้างยังไม่เคยมีผลบังคับใช้ จนกระทั่งล่าสุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติหลักการของกฎหมายที่เกี่ยวข้องรวม 3 ฉบับ เพื่อให้กองทุนนี้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อให้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเริ่มดำเนินการได้จริง กระทรวงแรงงานได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) และกฎกระทรวงรวม 3 ฉบับ ซึ่ง ครม. ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยมีสาระสำคัญดังนี้:
1. พ.ร.ฎ. กำหนดระยะเวลา เริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบฯ พ.ศ. 2567
สาระสำคัญ: กำหนดให้การจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
2. กฎกระทรวง กำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบฯ พ.ศ. 2567
สาระสำคัญ: กำหนดอัตราเงินที่ลูกจ้างและนายจ้างต้องนำส่งเข้ากองทุน โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้:
- ระยะที่ 1 (1 ต.ค. 68 – 30 ก.ย. 73): ลูกจ้างและนายจ้าง นำส่งฝ่ายละ ร้อยละ 0.25 ของค่าจ้าง
- ระยะที่ 2 (1 ต.ค. 73 เป็นต้นไป): ลูกจ้างและนายจ้าง นำส่งฝ่ายละ ร้อยละ 0.5 ของค่าจ้าง
3. กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. 2567
สาระสำคัญ: กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินสงเคราะห์ให้แก่ลูกจ้างในกรณีออกจากงานหรือเสียชีวิต ซึ่งจะมีผลบังคับใช้พร้อมกันในวันที่ 1 ตุลาคม 2568
กลไกการทำงาน: เงินของเราไปอยู่ที่ไหน?
เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 127 ได้แบ่งบัญชีของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจน ได้แก่:
1. บัญชีเงินของสมาชิก
1.1ที่มาของเงิน: มาจาก เงินสะสม ที่หักจากค่าจ้างของลูกจ้าง และ เงินสมทบ ที่นายจ้างจ่ายเพิ่มให้ในอัตราที่เท่ากัน พร้อมด้วยดอกผลที่เกิดขึ้น
1.2วัตถุประสงค์: เป็นบัญชีส่วนตัวของลูกจ้างแต่ละคน เพื่อสร้างหลักประกันระยะยาวและส่งเสริมการออม เมื่อลูกจ้างลาออกหรือเกษียณอายุ จะได้รับเงินส่วนนี้คืนไป
เงินที่เริ่มจัดเก็บตามกฎหมายใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 จะถูกนำเข้ามาไว้ในบัญชีนี้
2. บัญชีกองทุนกลาง
2.1ที่มาของเงิน: มาจากเงินส่วนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เงินของสมาชิก เช่น เงินอุดหนุนจากรัฐบาล เงินบริจาค หรือเงินค่าปรับเงินเพิ่มจากนายจ้างที่ได้กระทำความผิด หรือรายได้อื่น ๆ
2.2วัตถุประสงค์: เป็นเงินที่ภาครัฐบริหารจัดการ เพื่อใช้สงเคราะห์และเยียวยาลูกจ้างในกรณีพิเศษ เช่น กรณีที่นายจ้างเลิกจ้างแล้วลูกจ้างยังไม่ได้รับเงินตามสิทธิ์ เช่น ค่าจ้าง, ค่าชดเชย ค่าหลักประกัน หรือเงินอื่น ๆ เป็นต้น โดยมีระเบียบและหลักเกณฑ์การจ่ายเงินที่ชัดเจน ออกโดยคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างฯ
เงินในบัญชีนี้จึงเป็นส่วนที่ใช้ช่วยเหลือลูกจ้างโดยรวม ไม่ใช่เงินสะสมส่วนบุคคล
บทสรุปตอนที่ 1
โดยสรุป ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป นายจ้างและลูกจ้างจะต้องเริ่มนำส่งเงินเข้า กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ซึ่งเงินดังกล่าวจะเข้าไปอยู่ใน "บัญชีเงินของสมาชิก" เพื่อเป็นหลักประกันทางการเงินส่วนบุคคลให้กับลูกจ้างแต่ละคน ถือเป็นอีกหนึ่งสวัสดิการสำคัญที่จะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับคนทำงานทุกคน
ในตอนต่อไป เราจะมาเจาะลึกถึงรายละเอียดว่า กิจการประเภทใดบ้างที่ต้องจัดตั้งกองทุนนี้ และมีความแตกต่างจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างไร
#รู้หรือไม่ #สาระน่ารู้ #เตือนภัย #ชีวิตออฟฟิศ #พนักงานออฟฟิศ #มนุษย์เงินเดือน #การเงิน #ข่าวtiktok #fyp
#กฎหมาย #กฎหมายน่ารู้ #ทนาย #ทนายความ #สิทธิพนักงาน #กฎหมายแรงงาน #ฝ่ายบุคคล #HR #ทนายนอกศาล
#กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง #หักเงินเดือน #เงินสะสม #เงินสมทบ #ค่าจ้าง #พรบคุ้มครองแรงงาน #กระทรวงแรงงาน #กฎหมายใหม่