← ย้อนกลับ
อัปเดตเมื่อ: 22/10/2025
ปิดช่องสู้! ⚖️ ฎีกาใหม่ล่าสุด ตอกฝาโลงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ "ตั้งแก๊ง" กับ "ลงมือโกง" ผิด 2 กระทง โทษหนักคูณสอง!
ปิดช่องสู้! ศาลฎีกาตอกฝาโลงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฎีกาที่ประชุมใหญ่ 2614/2568 ชี้ "ตั้งแก๊ง" กับ "ลงมือโกง" ผิด 2 กระทง โทษหนักคูณสอง
ทุกวันนี้เราเจอปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ระบาดหนัก สร้างความเสียหายมหาศาล พวกนี้ทำงานกันเป็น "องค์กรอาชญากรรม" มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน ตั้งแต่หัวหน้า, คนวางแผน, คนโทร, ไปจนถึงบัญชีม้า
ที่ผ่านมา มิจฉาชีพเหล่านี้มักต่อสู้คดีในศาลว่า การรวมกลุ่มวางแผน (เป็นอั้งยี่, ซ่องโจร) กับการลงมือหลอกลวงประชาชน (ฉ้อโกง) เป็น "แผนการเดียวกัน" ต่อเนื่องกัน จึงควรเป็น "ความผิดกรรมเดียว" เพื่อให้ศาลลงโทษเบาลง แต่ล่าสุด... แนวทางนี้ใช้ไม่ได้อีกต่อไป!
คำพิพากษาศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ ที่ 2614/2568
ได้วางบรรทัดฐานใหม่ที่สำคัญยิ่ง และส่งผลกระทบโดยตรงต่อคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจัง โดยศาลได้ "แยก" การกระทำของคนร้ายออกเป็น 2 ส่วนชัดเจน
1. "กรรมที่หนึ่ง" ความผิดฐานรวมกลุ่มองค์กร ศาลฎีกาชี้ว่า ความผิดฐาน "อั้งยี่", "ซ่องโจร" หรือ "การมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ"
นั้นมัน "สำเร็จ" ทันที ตั้งแต่มีการสมคบคิด วางแผน หรือรวมตัวกันเพื่อจะไปทำความผิด พูดง่ายๆ คือ "แค่ตั้งแก๊ง...ก็ผิดแล้ว 1 กระทง" แม้จะยังไม่ได้โทรไปหลอกใครเลยก็ตาม
2. "กรรมที่สอง" ความผิดฐานลงมือโกง ส่วนความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน" และ "พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์" เป็นการกระทำที่เกิดขึ้น "ในภายหลัง" เป็น "การลงมือ" จริงตามแผนที่วางไว้
ศาลเห็นว่าสามารถ "แยกเจตนาและการกระทำ" ออกจากความผิดกลุ่มแรกได้ชัดเจน ดังนั้น นี่คือ "ความผิดอีก
1 กระทง" ต่างหาก
โดนโทษ 2 เด้ง: จากเดิมที่อาจโดนลงโทษแค่บทหนักสุดบทเดียว (กรรมเดียว) กลายเป็นต้องโดนลงโทษ 2 กระทง (บวกโทษเข้าไป) เช่นในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 2 ปี (เพราะมองเป็นกรรมเดียว)
แต่ศาลฎีกาแก้เป็นจำคุก 4 ปี (เพราะมองเป็น 2 กรรม) โทษหนักขึ้นเท่าตัว
สรุป บรรทัดฐานจากฎีกาที่ประชุมใหญ่ 2614/2568 นี้ มันทำให้การ "รวมตัวกันเป็นองค์กร" เพื่อทำชั่ว ไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของการโกง แต่เป็น "ความผิดร้ายแรง" ในตัวมันเองที่ต้องถูกลงโทษแยกต่างหากอีกกระทงหนึ่ง
