
อัปเดตเมื่อ: 24/07/2025
ทางเลือกนายจ้าง: ตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเอง ต้องทำอะไรบ้าง? สรุปกฎกระทรวง 2567 ตอนที่ 3
ทางเลือกนายจ้าง: ตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเอง ต้องทำอะไรบ้าง? สรุปกฎกระทรวง 2567 ตอนที่ 3
ในตอนที่แล้ว เราได้กล่าวถึง กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ซึ่งเป็นหน้าที่ของนายจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้กำหนดข้อยกเว้นสำหรับนายจ้างที่จัดสวัสดิการให้ลูกจ้างในลักษณะเดียวกันนี้เอง โดยไม่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนของรัฐ แต่ต้องปฏิบัติตาม กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. 2567 ซึ่งออกตามความใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน มาตรา 130 วรรค 2
บทความนี้จะเจาะลึกถึงหลักเกณฑ์และหน้าที่สำคัญที่นายจ้างต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด หากเลือกที่จะจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์นี้ขึ้นเอง
6 หลักเกณฑ์สำคัญที่นายจ้างต้องปฏิบัติ เมื่อจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์เอง
นายจ้างที่เลือกใช้สิทธิตามข้อยกเว้นนี้ จะต้องจัดให้มีระบบการจัดการเงินทุนสำหรับลูกจ้าง โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ดังนี้
1. การจัดระบบบริหารจัดการกองทุน
นายจ้างต้องวางระบบการจัดการเงินทุนให้ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งต้องครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้:
- การกำหนดอัตรา เงินสะสม ของลูกจ้าง และ เงินสมทบ ของนายจ้าง
- วิธีการและขั้นตอนการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบ
- กระบวนการตรวจสอบยอดเงินให้ถูกต้องและโปร่งใส
- หลักเกณฑ์การคำนวณ ดอกผล จากเงินสะสมและเงินสมทบที่ลูกจ้างจะได้รับ
- ขั้นตอนและระยะเวลาการจ่ายเงินคืนแก่ลูกจ้าง (กรณีออกจากงานหรือถึงแก่ความตาย)
2. อัตราเงินสะสมและเงินสมทบ
ข้อกำหนดสำคัญคือ อัตราเงินสะสมที่หักจากลูกจ้างและเงินสมทบที่นายจ้างจ่ายเพิ่มให้ จะต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่กฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกำหนด คือ ต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2 และไม่เกินร้อยละ 15 ของค่าจ้าง
3. การจัดการบัญชีเงินฝากของลูกจ้าง
นายจ้างมีหน้าที่นำเงินสะสมและเงินสมทบไปบริหารจัดการอย่างปลอดภัย โดย:
- นำเงินไปฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่นที่น่าเชื่อถือ
- ต้องจัดให้มีบัญชีเงินฝากเป็นชื่อของลูกจ้างแต่ละคนโดยเฉพาะ
- การเบิกจ่ายเงินจากบัญชี ต้องเป็นไปตามข้อตกลงกับสถาบันการเงิน โดยมีเงื่อนไขดังนี้:
- กรณีสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง (เลิกจ้าง, ลาออก, เกษียณอายุ):
- นายจ้างต้องออก หนังสือยืนยันการสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง
- ลูกจ้างใช้หนังสือดังกล่าวเป็นหลักฐานเพื่อติดต่อถอนเงินจากธนาคารได้โดยตรง
- กรณีลูกจ้างถึงแก่ความตาย หรือเป็นบุคคลสาบสูญ:
- ผู้รับประโยชน์ตามพินัยกรรม สามารถนำสำเนาใบมรณบัตร หรือคำสั่งศาลให้เป็นคนสาบสูญ ไปแสดงต่อธนาคารเพื่อขอรับเงิน
- หาก ไม่มีพินัยกรรม เงินทั้งหมดในบัญชีจะตกเป็นของ ทายาทโดยธรรม ตามกฎหมาย
- กรณีสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง (เลิกจ้าง, ลาออก, เกษียณอายุ):
4. หน้าที่แจ้งข้อมูลบัญชีแก่ลูกจ้าง
เพื่อความโปร่งใส นายจ้างต้องแจ้งข้อมูลสำคัญให้ลูกจ้างทราบ ได้แก่ ชื่อธนาคาร, ชื่อบัญชี, และเลขที่บัญชีของลูกจ้างแต่ละคน โดยต้องแจ้ง ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่มีการหักเงินสะสมจากค่าจ้างครั้งแรก
5. สิทธิของลูกจ้างในการตรวจสอบ
ลูกจ้างมีสิทธิเต็มที่ในการตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเงินสะสมและเงินสมทบของตนเอง โดยนายจ้างมีหน้าที่:
- อำนวยความสะดวก หรือจัดทำระบบให้ลูกจ้างสามารถเข้าตรวจสอบได้
- หากลูกจ้างยื่นคำขอเป็นลายลักษณ์อักษร นายจ้างต้องแสดงรายการหรือเอกสารดังกล่าวให้ลูกจ้างทราบ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ยื่นคำขอ
6. ขั้นตอนการจ่ายเงินเมื่อสิ้นสุดการจ้างงาน
ไม่ว่าจะสิ้นสุดการจ้างงานด้วยเหตุใด (นายจ้างเลิกจ้าง, ลูกจ้างลาออก, เกษียณอายุ, หรือตกลงเลิกสัญญา) นายจ้างมีหน้าที่ต้องคืนเงินสะสม เงินสมทบ และดอกผลทั้งหมดแก่ลูกจ้าง โดย:
- วิธีการ: คืนบัญชีเงินฝากดังกล่าว พร้อมทั้งออกหนังสือยืนยันการสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง
- กำหนดเวลา: ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่การจ้างงานสิ้นสุดลง เพื่อให้ลูกจ้างนำไปดำเนินการถอนเงินต่อไป
ข้อควรพิจารณา: จัดตั้งกองทุนเอง ดีจริงหรือ?
แม้การจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเองจะเป็นทางเลือกที่กฎหมายเปิดช่องให้ แต่ก็มีข้อดีและข้อเสียที่นายจ้างควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
- ข้อดี: อาจเป็นสวัสดิการที่จูงใจพนักงาน และทำให้นายจ้างรู้สึกว่าได้ดูแลพนักงานอย่างใกล้ชิด
- ข้อเสีย (และความท้าทาย):
- ภาระในการบริหารจัดการสูง: นายจ้างต้องรับผิดชอบในการดำเนินการทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเปิดบัญชี การนำส่งเงิน การคำนวณดอกผล และการประสานงานเมื่อลูกจ้างสิ้นสภาพ
- ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงอย่างเคร่งครัด: ทุกขั้นตอนมีกำหนดเวลาและวิธีการที่ชัดเจน หากปฏิบัติผิดพลาดอาจมีความรับผิดตามกฎหมาย
- ความซับซ้อน: เมื่อเทียบกับการนำส่งเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานโดยตรง ซึ่งมีอัตราการส่งที่น้อยกว่าและมีภาระในการจัดการน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
บทสรุป:
การตัดสินใจจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเองนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมและนโยบายของนายจ้างแต่ละราย หากนายจ้างมีระบบบริหารจัดการภายในที่ดีและพร้อมปฏิบัติตามกฎกระทรวงอย่างเคร่งครัด ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากพิจารณาถึงภาระและความซับซ้อนแล้ว การนำส่งเงินเข้ากองทุนของรัฐอาจเป็นทางเลือกที่ง่ายและมีความเสี่ยงน้อยกว่า
หากท่านนายจ้างมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับนี้ หรือต้องการคำปรึกษาเพื่อตัดสินใจเลือกระหว่างสองแนวทางนี้ สามารถติดต่อสอบถามเพื่อพูดคุยในรายละเอียดได้ครับ
#กฎหมายแรงงาน #กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง #HRต้องรู้ #นายจ้าง #ฝ่ายบุคคล #กฎกระทรวง2567 #สวัสดิการพนักงาน #กฎหมายธุรกิจ #SME #คุ้มครองแรงงาน